10 ข้อควรรู้ภาษีการรับมรดก
จากข้อเสนอแนะให้มีการจัดเก็บภาษีมรดกภายใต้รัฐบาล พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ทำให้เกิดคำถามมากมายในแวดวงเศรษฐีเมืองไทยถึงผลกระทบที่อาจเกินขึ้น โดยตอนนี้ร่างกฎหมายเสร็จหมดแล้วเรียกว่า “พ.ร.บ. ภาษีการรับมรดก” รอประกาศใช้ในราชกิจจานุเบกษาเท่านั้น ซึ่งคาดว่าจะเริ่มใช้ 1 ม.ค. 59 นี้ เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมกับกฎหมายตัวนี้ วันนี้มีบทความ 10 ข้อควรรู้เกี่ยวกับเรื่องนี้มาฝากกันค่ะ
1.ทำไมต้องมีการจัดเก็บภาษีมรดก
ภาษีการรับมรดกช่วยสร้างความเป็นธรรมในสังคม โดยการลดความเหลือมล้ำที่เกิดขึ้นในสงคมไทย ช่วยกระจายภาระภาษีหารายได้เข้ารัฐ และช่วยให้การใช้ทรัพย์กรของประเทศเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ แลโดยหลักการจะไม่กระทบต่อคนยากจน และคนที่มีฐานะปานกลาง
2.ภาษีกองมรดก กับ ภาษีการรับมรดก แตกต่างกันอย่างไร
“ภาษีกองมรดก” เป็นภาษีที่จัดเก็บจากกองมรดก ก่อนการแบ่งกองมรดกให้แก่ทายาท แต่ “ภาษีการรบมรดก” เป็นภาษีที่จัดเก็บจากผู้ที่ได้รับมรดก หลังการแบ่งมรดกให้แก่ทายาทตามจำนวนทรัพย์มรดกที่แต่ละคนได้รับ
3.ภาษีการรับมรดกเก็บจากใคร
ผู้ได้รับมรดก ที่เป็นบุคคลสัญชาติไทย ไม่ว่าเป็นบุคคลหรือนิติบุคคล คือทั้งตัวคนและบริษัท ห้างที่เป็นไทย หรือหากมิใช่สัญชาติไทยแต่ได้รับมรดกเป็นทรัพย์สินหรือมีถิ่นที่อยู่ในประเทศไทย จะถูกจัดว่าเป็นผู้มีหน้าที่ต้องเสียภาษี
4.ภาษีการรับมรดกจัดเก็บในอัตราใด
ความรับผิดชอบในการเสียภาษีการรับมรดกเกิดขึ้นเมื่อผู้มีหน้าที่เสียภาษีแต่ละราย (เป็นลูก) ได้รับมรดก) เช่น (คุณพ่อเสียชีวิต) ไม่ว่าในคราวเดียวหรือหลายคราวรวมกันเกิน 100 ล้านบาท ให้เสียภาษีในส่วนที่เกิน 100 ล้านบาทนั้น โดยจะเสียภาษีในอัตรตรา ดังนี้
* ร้อยละ 5 ของมูลค่ามรดกในส่วนที่ต้องเสียภาษี สำหรับกรณีที่ผู้รับมรดกเป็นบุพการี หรือ ผู้สืบสันดานของเจ้าของมรดก (ผู้สืบสันดานนี้ไม่รวมถึงบุตรบญธรรม)
* ร้อยละ 10 ของมูลค่ามรดกในส่วนที่ต้องเสียภาษี สำหรับกรณีอื่นๆ เช่น ผู้รับพินัยกรรม เป็นต้น
* ร้อยละ 0 หรือไม่ต้องเสียภาษีการรับมรดก สำหรับคู่สมรส หรือ กรณีที่ยกให้เพื่อประโยชน์ในกิจการศาสนา กิจการศึกษา กิจการสาธารณะประโยชน์ หรือ องค์กรระหว่างประเทศที่ทำเรื่องเหล่านี้ (ได้รับยกเว้น)
5.ทรัพย์มรดกประเภทใด ที่จะต้องเสียภาษีการรับมรดก
มรดกที่ต้องเสียภาษี มีทรัพย์สินทั้งหมด 5 ประเภท คือ
* อสังหาริมทรัพย์ ได้แก่ ที่ดิน สิ่งปลูกสร้างทั้งหลาย
* หลักทรัพย์ตาม พ.ร.บ. หลักทรัพย์ เช่น หุ้น หุ้นกู้ หน่วยลงทุน ตราสารหนี้ ตราสารอนุพันธ์ต่างๆ
* เงินฝาก หรือ เงินอื่นใดที่มีลักษณะอย่างเดียวกัน
* ยานพาหนะ ที่มีหลักฐานทางทะเบียน ได้แก่ รถ เรือ มอเตอร์ไซค์
* ทรัพย์สินทางการเงินที่กำหนดเพิ่มขึ้นตามกฎหมายในอนาคต (ถ้ามี)
6.ราคาของทรัพย์มรดกจะใช้ราคาใด
การคำนวณมูลค่าของทรัพย์มรดก เวลาพิจารณาว่าถึง 100 ล้านบาทหรือไม่
* อสังหาริมทรัพย์ ใช้ราคาประเมินของกรมที่ดิน
* หลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ให้ใช้ราคาปิด ณ สิ้นวัน ในวันที่ได้รับมรดก
* ทรัพย์สินอื่นให้เป็นไปตามกฎกระทรวงจะประกาศกำหนด
* ถ้าต้องคำนวณเป็นเงินตราต่างประเทศ จะเป็นไปตามที่กรมสรรพากร ประกาศกำหนด
7.ผู้ที่ได้รับมรดกจะต้องเสียภาษีการรับมรดกเมื่อใด
ผู้มีหน้าที่เสียภาษีการรับมรดกต้องยื่นแบบแสดงรายการ และชำระภาษีใน 150 วัน นับตั้งแต่วันได้รับมรดก ณ สำนักงานสรรพากรพื้นที่ เจ้าพนักงานจะดำเนินการประเมินภาษี เพื่อดูว่าจะต้องเสียภาษีการรับมรดกมีสิทธิ์ขอผ่อนชำระภาษีการรับมรดกได้เป็นเวลาไม่เกิน 5 ปี
8.จะเริ่มมีการจัดเก็บภาษีการรับมรดกเมื่อใด
เริ่มบังคับใช้วันที่ 1 มกราคม พ.ศ. 2559 (โดยทั้งนี้ ขึ้นอยู่กับวันที่ประกาศในราชกิจจานุเบกษา)
9.จะเกิดอะไรขึ้นหากเสียภาษีการรับมรดกไม่ครบถ้วน หรือ ไม่ยื่นแบบการเสียภาษีการรับมรดก
* เจ้าพนักงานประเมินมีอำนาจประเมินภาษี (1-3 ปี กรณียื่นแบบและ 10 ปี กรณีไม่ยื่นแบบ) และเรียกเก็บภาษีให้ครบถ้วนพร้อมเบี้ยปรับและเงินเพิ่ม
* หากไม่เสียภาษีตามกำหนด อธิบดีกรมสรรพกรมีอำนาจสั่งยึด อายัด และ ขายทอดตลาดทรัพย์มรดกโดยไม่ต้องขอศาล
10.การหลีกเลี่ยงภาษีการรับมรดกจะมีโทษหรือไม่ อย่างไร
การหลีกเลี่ยงภาษีมรดก เช่น (จงใจยื่นข้อความเท็จ ใช้อุบายหลีกเลี่ยงภาษี) ถือเป็นความผิดอาญา จะต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือ ปรับไม่เกิน 200,000 บาท หรือ ทั้งจำทั้งปรับ ทั้งนี้ กรณีดังกล่าวรวมถึงผู้แนะนำ หรือ สนับสนุนให้บุคคลอื่นกระทำการเช่นว่านั้นด้วย
ขอบคุณข้อมูลจาก : http://www.checkraka.com , หนังสือพิมพ์โพสต์ทูเดย์ ฉบับวันอังคารที่ 21 ตุลาคม 2557 (เขียนโดย ศ.พิเศษ กิตติพงศ์อุรพีพัฒนพงศ์) , วารสารการเงินธนาคาร ฉบับบเดือนกรกฎาคม 2558